เดิมพันรักบนเส้นทางคณาธิปไตย
ชานนท์และไพลินจะทำอย่างไรเมื่อความรักกับหน้าที่ในการเรียกร้องประชาธิปไตยนั้นสวนทางกัน สุดท้ายแล้วเรื่องจะลงเอยอย่างไร คลิกอ่านได้เลยคับ :)
ผู้เข้าชมรวม
306
ผู้เข้าชมเดือนนี้
2
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ชานนท์...
น้ำตาหยดหนึ่งรินร่วงลงมาเมื่อนึกได้ว่าผู้ชายคนนี้มีตัวตนอยู่ในใจของหล่อนเสมอมา ตลอดเวลายี่สิบปีแห่งความทรงจำในรักแรกและรักเดียวนี้ไพลินพยายามบอกตนเองอยู่เสมอมาว่าหล่อนลืมเขาไปแล้ว ไม่ได้รักเขาอีกต่อไป แต่เมื่อต้องพบกับใบหน้าของกานต์ผู้เป็นลูกชายที่ใบหน้าประพิมพ์ประพายคล้ายกับผู้เป็นพ่ออยู่ทุกวี่วัน มันกลับทำให้ไพลินต้องหวนกลับมาบอกตนเองอีกครั้งว่าหล่อนคิดผิด
ผิดไปอย่างที่เรียกได้ว่าเกินกว่าที่คาดคะเนไว้มากมายมหาศาลเลยทีเดียว...
วันนี้หล่อนเข้ามาในห้องนี้เพื่อที่จะเคลียร์ข้าวของที่กระจัดกระจายอยู่ตามซอกมุมต่างๆให้เข้าที่เข้าทาง แต่กลับต้องมาเสียน้ำตาให้กับความทรงจำที่แสนโศกศัลย์นี้เสียได้ สมองก็หวนย้อนคืนไปเมื่อยี่สิบปีก่อนเมื่อหล่อนพบเขาครั้งแรกก่อนหน้าที่เหตุการณ์พฤษภาทมิฬจะเกิดเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น
พฤษภาทมิฬ...เหตุการณ์อำมหิตอัปยศที่ทุกคนที่อยู่ ณ ที่แห่งนั้นจะไม่มีวันลืมเลือนไปชั่วชีวิต รวมถึงไพลินเองด้วย
มีนาคม 2535
ในตอนนั้นหล่อนเป็นเพียงแค่นักหนังสือพิมพ์ต๊อกต๋อยคนหนึ่งที่มีความเป็นคณาธิปไตยที่ค่อนข้างจะรุนแรงอยู่สักหน่อยด้วยถูกปลูกฝังเมื่อครั้งได้รับทุนไปศึกษาปริญญาโทรัฐศาสตร์บัณฑิตอยู่ ณ สหรัฐอเมริกา รวมถึงบิดาที่ในอดีตเป็นนักศึกษาไทยในอเมริกาซึ่งก็เคยเข้าร่วมขบวนการเสรีไทยเมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็มีอิทธิพลต่อความเป็นเลือดคณาธิปไตยของไพลินอยู่มากพอสมควรเลยทีเดียว
เมื่อหล่อนได้พบกับชานนท์ครั้งแรกนั้น เขายังเป็นนิสิตนักศึกษาในมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งที่เคยมีชื่อติดอยู่ในเหตุการณ์ 16 ตุลาคม 2519 อีกด้วย โดยที่ชานนท์เรียนอยู่ปีสี่ในคณะวิศวกรรมศาสตร์หรือถ้าเรียกแบบติดหรูตามสำเนียงฝรั่งเขาจะเรียกกันว่าฟากัลต์ตี้ออฟอีเจนเนอร์ริ่งนั่นเอง เรียกได้ว่ากำลังรุ่งเลยทีเดียว ในขณะที่ไพลินเองอายุอานามก็ปาเข้าไปจะสามสิบปีแล้ว เรียกได้ว่าอายุของเขากับหล่อนเป็นอุปสรรคค่อนข้างมากเลยทีเดียว
เขาอยู่ในชุดนักศึกษาเต็มยศ เดินมากับเพื่อนโดยที่ในมือมีแต่หนังสือหลักวิชาการทางวิศวกรรมโดยเฉพาะ หล่อนยืนอยู่กับเพื่อนที่เป็นนักหนังสือพิมพ์เช่นเดียวกันอยู่ตรงที่เขากำลังเดินมา และในขณะที่หล่อนกำลังหันหลังเพื่อที่จะเดินไปยังตึกโดมท่าพระจันทร์เพื่อพบกับอธิการบดีที่หล่อนได้นัดเอาไว้เพื่อสืบค้นข้อมูลลงในคอลัมน์ของหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งนั้น ชานนท์ที่เดินมาหยุดตรงหลังหล่อนพอดีได้ถูกไพลินชนเข้าอย่างจังจนหนังสือในมือหล่นร่วงและร่างของไพลินที่กำลังจะล้มลงไปชานนท์ก็ได้เอื้อมมือไปคว้าหล่อนมาไว้ในอ้อมแขนได้อย่างทันควัน ใบหน้าของทั้งสองห่างกันเพียงแค่คืบ ตาทั้งสองคู่สบกันเนิ่นนาน
ชานนท์บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมผู้หญิงคนนี้สามารถดึงสายตาเขาไว้ได้เนิ่นนานเช่นนี้ ทั้งๆที่เจ้าหล่อนไม่ใช่คนสะสวยอะไรเลย ออกจะเนิร์ดหรือดูเด็กเรียนเสียด้วยซ้ำไป หากแต่ดวงเนตรใสแจ๋วราวลูกกวางในสวนสัตว์กลับดึงดูดเขาได้
ไพลินเองก็บอกตัวเองไม่ถูกเช่นเดียวกันว่าทำไมเด็กหนุ่มหน้าตาดีคนนี้ถึงได้จ้องมองหล่อนได้นานเช่นนี้ สายตาแบบนี้ของเขาทำเอาใจหล่อนหวั่นไหวไปกับเขาได้อย่างง่ายดาย ก่อนที่ไพลินจะเป็นฝ่ายได้สติก่อนและผลักมือออกมาจากอ้อมแขนเขาอย่างสุภาพที่สุด
“ขอบคุณค่ะ คุณ...เอ่อ” ยังไม่ทันที่ไพลินจะเอ่ยจบ ชานนท์ก็ชิงเอ่ยขึ้นมาเสียก่อนว่า
“ผมชานนท์ครับ แล้วพี่ชื่ออะไรครับ”
“พี่ชื่อไพลินค่ะน้อง พี่ขอเรียกว่านนท์ก็แล้วกันนะคะ ขอตัวก่อนนะคะ หวังว่าเราคงได้พบกันอีก” ไพลินเอ่ยจบก็เตรียมที่จะออกก้าวเดินไปเพราะไม่อยากทนมองหน้าเด็กหนุ่มหน้าตาดีคนนี้ให้หวั่นไหวเล่น หากแต่คำพูดต่อมาของชานนท์ก็ทำให้หล่อนต้องหันขวับไปหาเขาเพราะไม่คิดว่าเขาจะกล้า
“พี่ลินครับ ผมขอเบอร์เพจเจอร์ของพี่หน่อยจะได้ไหม” ใช่ หล่อนไม่คิดว่าเขาจะกล้า...ขอเบอร์เพจหล่อน !
ผู้ชายอะไร หล่อแล้วยัง...หน้าด้านอีก !
ไพลินหยิบกระดาษในกระเป๋าถือขึ้นมาเขียนอะไรบางอย่างลงไปแล้วยื่นคืนให้ชายหนุ่มที่บัดนี้ยิ้มไม่หุบเลยทีเดียวเมื่อได้รับกระดาษแผ่นนั้นจากหล่อน
“152 เรียก 439084” เขาเอ่ยออกมาเบาๆหากแต่มันก็ดังพอให้เพื่อนๆของทั้งคู่ได้ยินชัดเจน เขาเอ่ยจบก็หยิบสมุกฉีกขึ้นมาเขียนอะไรบางอย่างลงไปแล้วฉีกออกมาให้หล่อนบ้าง
“152 เรียก 426884 ไว้มีโอกาสผมจะเพจไปหานะครับ พอดีว่าอยากเลี้ยงฉลองที่เราได้เจอกันสักหน่อย” บัดนี้หล่อนเขินจนพูดอะไรไม่ออกแล้ว จึงทำได้เพียงแค่เอ่ยสั้นๆว่า
“อืม” เอ่ยจบหล่อนก็รีบเดินไปโดยพยายามที่จะไม่สนใจเสียงโห่ฮิ้วรอบข้างด้วยเพราะความเขินอายนั่นเอง
หลายวันต่อมา...
หน้าจอเพจเจอร์ของไพลินส่งเสียงร้องเตือนขึ้นมาว่ามีข้อความเข้า หล่อนลืมชายหนุ่มหน้าตาดีที่มหาวิทยาลัยนามว่าชานนท์คนนั้นไปแล้ว พอหล่อนหยิบเพจเจอร์ขึ้นมาดูเผื่อว่าบรรณาธิการจะสั่งงานอะไรหล่อนอีกหรือเปล่า แต่ก็ต้องอึ้งกิมกี่ไปพักหนึ่งเลยทีเดียวเมื่อพบว่าข้อความนั้นเป็นของเขา...ชานนท์
“สวัสดีครับพี่ไพลิน พี่คงจำผมได้ ผมอยากเลี้ยงฉลองที่เราได้พบกันเป็นครั้งแรก พบกันที่ร้านขนมหวานคุณพลอยข้างมธ.ในอีกสองชั่วโมงข้างหน้านี้นะครับ (ชานนท์)”
ไพลินอ่านจบก็แทบไม่ต้องเสียเวลาเตรียมตัวอะไรเลยเพราะที่อยู่ของหล่อนก็ห่างจากร้านขนมที่ว่าไปเพียงไม่กี่เมตรเท่านั้น หล่อนเพียงแค่สวมเสื้อแขนยาวคลุมทับเดรสแขนกุดสีฟ้าที่สวมอยู่ ผมเผ้าที่กระเซอะกระเซิงก็เกล้าขึ้นให้เรียบร้อย แว่นตาที่สวมอยู่ก็เปลี่ยนจากกรอบสีดำเป็นกรอบสีฟ้า เปลี่ยนจากรองเท้าแตะธรรมดาเป็นรองเท้าส้นสูงสีดำที่หล่อนจะใส่เพียงเมื่อเวลาที่ต้องไปทำข่าวในสถานที่ที่ต้องการความสุภาพเท่านั้น หากแต่นิชา เพื่อนของหล่อนก็เรียกเอาไว้เสียก่อน
“ไพลิน นั่นเธอจะออกไปไหนน่ะ”
“อ๋อ เธอจำผู้ชายคนที่ฉันเดินชนที่มหาวิทยาลัยได้ไหม เด็กคนนั้นเขานัดฉันออกไปที่ร้านขนมหวานคุณพลอยน่ะ ฉันไปก่อนนะ” ไพลินเอ่ยจบก็ไม่รอให้เพื่อนสาวแสดงท่าทีสนใจเลยด้วยซ้ำ รีบก้าวเดินออกจากประตูบ้านไปในทันใด
เมื่อถึงร้านแล้ว ดวงตาภายใต้กรอบแว่นก็สอดส่ายหาเขาในทันที แล้วก็ไม่เสียเวลามากนักด้วยความสูงของเขาเตะตาหล่อนเข้าอย่างจัง หล่อนรีบเดินไปยังโต๊ะที่เขานั่งอยู่ในทันที
“ชานนท์” ชายหนุ่มเจ้าของชื่อหันไปตามเสียง ก่อนที่จะเบิกยิ้มกว้างเมื่อได้พบว่าใครคือเจ้าของเสียง
“พี่ลิน นั่งก่อนสิครับ อยากสั่งอะไรก็สั่งได้เลยนะครับ มื้อนี้ผมเลี้ยงเอง” เขาผายมือเชิญให้หล่อนนั่งตรงเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับเขา เมื่อไพลินนั่งพอดีกับที่บริกรมายืนรอออร์เดอร์อยู่ หล่อนจึงสั่งทันที
“ถ้าอย่างนั้นพี่ไม่เกรงใจแล้วนะคะ น้องคะ พี่ขอเค้กนมสดหนึ่งปอนด์ก็แล้วกันค่ะ” ไพลินสั่งบริกรจบก็หันมาเลิกคิ้วใส่เขาด้วยหวังจะแกล้งเขาเล่นๆ ปกติถ้าหล่อนสั่งเค้กวนิลาไป คนที่เป็นเจ้ามือมักจะทำหน้าแหยงๆราวกับไม่มีเงินจ่าย แต่กับชานนท์นั้นไม่ใช่ สิ่งที่หล่อนได้รับกลับมาจากเขานั้นกลับกลายเป็นรอยยิ้มขบขัน ซึ่งก็ทำให้สาวขี้แกล้งอย่างไพลินถึงกับไปไม่เป็นเลยทีเดียว
“แหม อยากแกล้งผมก็ไม่บอก สั่งมาแล้วทานให้หมดนะครับ หรือจะทานไม่อั้นเลยก็ได้ สำหรับพี่ลิน ‘คนสวย’ของผมแล้ว ผมให้ได้ทุกอย่าง ” ประโยคหลังเขาจงใจเน้นคำว่าคนสวยเข้าไปอย่างชัดเจน ทำเอาไพลินถึงกับหน้าแดงซ่านขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ก่อนที่เขาจะพูดต่อว่า
“พี่ลินทำงานอะไรหรือครับ”
“พี่เป็นนักหนังสือพิมพ์ค่ะ แล้วนนท์เรียนอยู่คณะอะไรหรือคะ”
“ผมเรียนวิศวกรรมศาสตร์ปีสุดท้ายแล้วครับ” หญิงสาวพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ แต่แล้วชานนท์ก็เอ่ยขึ้นมาต่อว่า
“ผมอยากพาพี่ลินไปที่ๆหนึ่ง รับรองได้ว่าพี่ลินต้องชอบแน่ๆ” ไพลินตอบออกไปอย่างแทบไม่ต้องเสียเวลาคิดเลยด้วยซ้ำ
“ที่ไหนเหรอคะ แล้วนนท์รู้ได้ยังไงว่าพี่ต้องชอบ” สารพัดคำถามของหญิงสาวน้ำเสียงฟังดูกระตือรือร้นเสียจนชานนท์อดยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดูไม่ได้ ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆก่อนที่จะเอ่ยให้คำตอบกับหญิงสาว
“เดี๋ยวพี่ลินก็รู้เองนั่นแหละครับ แต่ว่าพี่ลินทานเค้กให้หมดก่อนเถอะครับ” เขานั่งรอจนไพลินทานเค้กหมด จึงกวักมือเรียกบริกรมาเก็บเงิน แล้วจึงพาหญิงสาวออกเดินไปขึ้นรถเมล์เพื่อไปยังสถานที่หนึ่ง...
‘บางกอกดอลล์มิวเซียม’
ไพลินดูดีใจมากจนถึงกับกระโดดโลดเต้นไปมา ซึ่งชานนท์เองก็ได้แต่มองพลางอมยิ้มด้วยความเอ็นดูแกมขำ พลางนึกในใจว่า
รักษาท่าทีบ้างก็ได้นะพี่ลิน ทำแบบนี้เสียแก่หมด...
“เข้าไปข้างในกันดีกว่าครับพี่ลิน” ชานนท์ไม่รอให้หญิงสาวตกลงหรือปฏิเสธอะไรเลย เขารีบคว้าข้อมือหญิงสาว บังคับให้ก้าวเดินตามกันไปจนครบรอบพิพิธภัณฑ์...
เมื่อทั้งสองออกมาจากพิพิธภัณฑ์แล้ว ไพลินก็เป็นฝ่ายเริ่มต้นบทสนทนาขึ้นก่อน
“นนท์คิดยังไงกับการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของรสช.และการรับตำแหน่งรัฐมนตรีของพลเอกสุจินดา คราประยูรในครั้งนี้” เขาตอบอย่างไม่มีท่าทีอิดออดเลยว่า
“ผมคิดว่าการที่ท่านเข้ารับตำแหน่งทางการเมืองทั้งๆที่ได้เคยแถลงออกมาหลายครั้งแล้วว่าผู้ที่เข้าร่วมขบวนการรสช.นั้นจะไม่มีการรับตำแน่งทางการเมืองใดๆทั้งสิ้นนั้น ในสายตาของผมนั้นคิดว่าเป็นการกระทำที่เรียกได้ว่า‘เสียสัตย์เพื่อชาติ’เพราะว่าดูจะเป็นคำพูดที่หลอกลวงปลิ้นปล้อนนั่นแหละ ที่พวกนักศึกษาอย่างผมยอมรับเขาไม่ได้เพราะเขาเป็นนายกรัฐมนตรีที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ผมไม่รู้ว่าคนอื่นคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้ แต่ถ้าเขาเข้ามาแล้วทำให้ประเทศชาติมีแต่ความสงบสุข มีประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ผมก็คงไม่มีสิทธิ์ที่จะไปต่อกรอะไรกับเขา แต่ถ้าเขาเข้ามาแล้วทำให้ประเทศชาติวุ่นวายกว่าที่เป็นอยู่นี้ ผมว่าเห็นทีคงจะต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อเป็นการต่อต้านเขาเพื่อไม่ให้ซ้ำรอยเหตุการณ์ทั้งหมดที่ผ่านมา แล้วพี่ลินล่ะครับ คิดอย่างไรกับเรื่องนี้” ไพลินเองก็ตอบออกไปว่า
“สำหรับตัวพี่เองนั้น ในฐานะนักหนังสือพิมพ์ซึ่งเป็นอาชีพที่ถูกเพ่งเล็งจากสังคมอยู่มากพอสมควรมาตั้งแต่สมัยรุ่นพ่อรุ่นแม่นั้น พี่คงจะไม่มีความคิดเห็นอะไรมากนักกับเรื่องนี้ เพราะนนท์เองก็ตอบแทนพี่ไปหมดแล้ว สรุปได้เลยก็คือตอนนี้ใจเราตรงกันแล้ว เราสองคนมีเลือดความเป็นคณาธิปไตยที่รุนแรงพอกัน เพราะฉะนั้นพี่กับเราก็คงต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยที่แท้จริง เพราะว่าพี่ดูท่าทีแล้วเหมือนว่ามีท่าทีจะซ้ำรอยครั้งก่อนๆอีกก็คือเขาไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชนอย่างที่นนท์ว่านั่นแหละ แต่พี่ก็ขอแค่ว่าอย่าได้มีความรุนแรงเกิดขึ้นอย่างที่ผ่านๆมาเลย พี่เห็นพ่อแม่ผู้เสียชีวิตหรือแม้แต่ผู้สูญหายคร่ำครวญแล้วพี่แทบจะร้องไห้ตามพวกเขาไปตรงนั้น เพราะพี่คิดอยู่เสมอว่าหากวันหนึ่งคนที่พี่รักต้องมาจากพี่ไปในเหตุการณ์ครั้งนั้น พี่คงทำใจยอมรับมันไม่ได้ไม่ต่างอะไรกับคนที่สูญสิ้นแล้วทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต” ไพลินเอ่ยในขณะที่เริ่มมีน้ำตาเอ่อคลอ กระบอกตาทั้งสองข้างร้อนผ่าวขณะเดียวกันก็พยายามบังคับน้ำเสียงไม่ให้สั่นเครือ
“แล้วถ้าคนๆนั้นเป็นผมล่ะครับ พี่ลินจะร้องไห้ไหม” ไพลินก็ตอบออกไปอย่างที่แทบไม่ต้องเสียเวลาคิดเลยว่า
“ไม่ !!”
“ผมก็กะแล้วแหละ เพราะเราสองคนเพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่นานนัก แต่ผมเชื่อว่าสักวันหนึ่งต้องมีวันที่พี่ลินเปลี่ยนมาตอบผมว่าใช่ เพราะผมจะทำให้พี่ลินชอบผมให้ได้” ประโยคสุดท้ายเขาพูดเพียงในใจ แต่คำพูดที่เหลือนั้นก็สามารถทำเอาไพลินถึงกับหน้าแดงซ่านขึ้นมาได้เหมือนกัน
“แล้วนนท์ไม่ถือเรื่องอายุพี่เหรอ อายุเราห่างกันตั้งหลายปีนะ นนท์อายุแค่ยี่สิบสองเองนะ แต่พี่อายุตั้งยี่สิบแปด”
“โธ่ พี่ลินครับ แค่หกปีเอง คนอื่นๆเขาอายุห่างกันเป็นสิบปียี่สิบปีเขายังรักกันได้เลย”
“แล้วพี่เคยบอกเหรอว่าพี่ไม่ให้โอกาสนนท์น่ะ” อะไรบางอย่างที่แฝงอยู่ในคำพูดนั้นทำให้ชานนท์ที่เกือบจะถอดใจแล้วรู้สึกเหมือนกับมีสายน้ำทิพย์รดลงมาชโลมใจให้กลับมาชุ่มฉ่ำอีกครั้ง
“ถ้าอย่างนั้นผมขอพาพี่ลินไปพบพ่อกับแม่ผมที่บ้านวันนี้เลยดีไหมครับ”
“แล้วแต่นนท์สิ ถ้าสมัครใจ พี่ก็ไม่ขัดข้อง” หญิงสาวอ้อมแอ้มตอบ
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปเลยแล้วกันครับ รถเมล์มาโน่นแล้ว” กล่าวจบก็ไม่รอให้หล่อนตอบรับเลยด้วยซ้ำ ชานนท์ก็รีบคว้าข้อมือเอาไว้และรั้งให้ไพลินเดินขึ้นไปนั่งบนรถเมล์ด้วยกันจนกระทั่งรถแล่นไปจนถึงป้ายรถใกล้บ้านชานนท์...
“พี่ลิน เดินเร็วๆสิครับ เดี๋ยวไม่ทันเวลาตั้งโต๊ะอาหารมื้อกลางวันกันพอดี” ชายหนุ่มหันมาเร่งไพลินที่เดินค่อนข้างช้าสำหรับเขาแต่ไวที่สุดสำหรับหล่อนแล้วเพราะใส่รองเท้าส้นสูงเลยทำให้เดินไม่ค่อยสะดวกนั่นเอง แต่ในขณะที่ชานนท์กำลังจะเอื้อมมือมาคว้าข้อมือหล่อนเอาไว้ ไพลินก็รั้งให้เขาหยุดเดินเสียก่อนแล้วถามว่า
“นนท์ แน่ใจเหรอที่จะทำแบบนี้ พี่กลัวพ่อแม่นนท์ไม่ยอมรับพี่น่ะ” ชานนท์เมื่อเห็นสีหน้ากังวลของหญิงสาวก็อดที่จะเป็นห่วงไม่ได้ เขาใช้นิ้วเกลี่ยแก้มหญิงสาวเบาๆเพื่อเรียกกำลังใจ ก่อนจะให้คำตอบว่า
“โธ่ ผมนึกว่าเรื่องอะไร พ่อแม่ผมท่านเป็นคนใจกว้างครับ พี่ลินไม่ต้องกลัวหรอก” แต่สีหน้ากังวลของไพลินก็ยังไม่ดีขึ้น ชานนท์จึงเอื้อมมือไปกุมมือของไพลินเอาไว้แล้วกล่าวว่า
“ถ้าพี่ลินกลัว ก็จับมือผมไว้แน่นๆก็แล้วกันครับ ” ก่อนที่ทั้งสองจะเดินจูงมือกันไปจนถึงบ้านของชานนท์ในที่สุด...
พ่อแม่ของชานนท์ไม่ได้มีท่าทีต่อต้านอะไรอย่างที่ไพลินระแวงเลยสักนิด จากการที่ได้พูดคุยกันนั้นทำให้หล่อนรู้ว่าพ่อของชานนท์ทำงานรัฐวิสาหกิจ ส่วนแม่เป็นวิศวกร มันทำให้หล่อนคิดว่าอย่างนี้กระมังที่ทำให้ชานนท์ตัดสินใจเรียนสาขาวิศวกรรมศาสตร์ คงจะเพราะอยากดำเนินรอยตามผู้เป็นแม่นั่นเอง และเมื่อท่านทั้งสองได้รับรู้ว่าผู้หญิงที่ชานนท์บอกว่ากำลังคบหาอยู่นั้นเป็นนักหนังสือพิมพ์ ทั้งสองก็ไม่ได้มีท่าทีที่แสดงให้เห็นว่าต่อต้านนักหนังสือพิมพ์ที่มักจะถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกคอมมิวนิสต์เลยแม้แต่น้อย หนำซ้ำท่านยังเอ่ยกำชับกับหล่อนว่าให้ดูแลชานนท์ให้ดีๆหน่อย เพราะเขาเป็นลูกชายคนสุดท้องจากพี่น้องทั้งหมดสามคนที่พ่อแม่เลี้ยงดูราวกับไข่ในหิน กลัวว่าจะไปถูกยิงเอาตอนที่รัฐบาลสั่งสลายการชุมนุม ไพลินก็รับปากว่าจะดูแลชายหนุ่มให้ดีที่สุด ทั้งสองอยู่กันจนเย็นแล้วไพลินจึงเอ่ยปากลาพ่อกับแม่ของชานนท์ ชานนท์ก็อาสาจะพาไปส่งบ้านเอง ในทีแรกหล่อนก็ไม่ยอมโดยบอกเหตุผลไปว่าหล่อนกลับบ้านเองได้ แต่ทว่าแม่ของเขาก็เอ่ยท้วงเอาไว้ด้วยเห็นว่าฟ้าเริ่มมืดแล้ว ชานนท์จึงอาสาจะไปส่งที่บ้านเองโดยอ้างเหตุผลของมารดาเขาเป็นหลัก ไพลินเองก็คร้านจะไปหักด้ามพร้าด้วยเข่า จำใจให้ชานนท์ไปส่งให้ถึงบ้านจนได้
“สามทุ่มพี่ลินอย่าเพิ่งนอนนะครับ เดี๋ยวรอเอสเอ็มเอสจากผมก่อนค่อยนอน ลาก่อนครับ”
“สายัณห์สวัสดิ์ แล้วพี่จะรอนะจ๊ะ” แต่เมื่อหล่อนกำลังจะผละไป ชานนท์ก็ดึงมือหล่อนไว้และยัดอะไรบางอย่างเข้าไปในมือหล่อน พอหญิงสาวแบมือออกก็เห็นว่ามีสร้อยทองคำขาวเส้นเล็กจี้เพชรรูปหัวใจอยู่ในมือ พอเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างต้องการคำตอบชานนท์ก็ให้คำตอบมาดังนี้
“ผมให้พี่ลินครับ ถือว่าเป็นของขวัญชิ้นแรกในโอกาสที่เราได้คบกันก็แล้วกันครับ”
สามทุ่ม...
ไพลินตบหมอนให้ฟู ขณะที่กำลังจะล้มตัวลงนอน เสียงเพจเจอร์คู่ใจก็ดังส่งเสียงร้องเตือนขึ้นมา พอหล่อนเปิดดู คนที่ส่งมาก็คือเขา ชานนท์...
คิดถึงผมก่อนนอนในคืนนี้
แล้วช่วยคิดถึงผมต่อทีได้ไหม
ไม่จำเป็นต้องคิดถึงก่อนใคร ๆ
ขอแค่มีชื่อผมบ้างก็พอ...
(ราตรีสวัสดิ์นะครับพี่ลิน ชานนท์...)
เอสเอ็มเอสของชานนท์ทำเอาไพลินยิ้มไม่หุบไปนานหลายนาทีเลยทีเดียว พออาการเขินเริ่มลดลงแล้ว หล่อนก็ลงมือส่งเอสเอ็มเอสให้เขาผ่านทางโอเปอเรเตอร์กลับไปในทันใด
คิดถึงฉันก่อนนอนในคืนนี้
แล้วช่วยคิดถึงฉันต่อทีได้ไหม
ไม่จำเป็นต้องคิดถึงก่อนใคร ๆ
ขอแค่มีชื่อฉันบ้างก็พอ
(ราตรีสวัสดิ์เช่นกันจ้ะนนท์ ไพลิน...)
ชานนท์เมื่อได้รับข้อความแล้วก็ถึงกับยิ้มไม่หุบไปครู่ใหญ่ๆเลยทีเดียว แล้วจึงล้มตัวลงนอนด้วยหัวใจที่เปี่ยมสุขเช่นเดียวกันกับไพลิน...
หลายวันต่อมา...
วันหนึ่งหลังจากที่ไพลินเดินทางมาที่มหาวิทยาลัยอีกครั้งเพื่อมาเก็บข้อมูลทำข่าวและกำลังจะเดินทางกลับบ้านเหมือนเช่นเคย ฝนก็เทกระหน่ำลงมาอย่างหนัก หญิงสาวจึงเข้าไปหลบในตึกท่าพระจันทร์ และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้หล่อนได้พบกับชานนท์อีกครั้ง ชานนท์ที่ยืนรอฝนหยุดตกอยู่กับเพื่อนอยู่นั้นเมื่อเห็นไพลินยืนอยู่ข้างหน้าเขาจึงสะกิดและเรียกหล่อนเบาๆ
“พี่ลินครับ” เมื่อไพลินหันไปก็พบว่าเขายืนอยู่ข้างหลังตัวหล่อนเพียงคืบเดียวเท่านั้น หล่อนส่งยิ้มกลับไปในตอนนั้นก็มีเพื่อนคนหนึ่งของชานนท์เอ่ยออกมาว่า
“เฮ้ย ไอ้นนท์ คนนี้นี่ใช่พี่ลินแฟนมึงที่มึงเคยบอกกูหรือเปล่าวะ ขนาดใส่แว่นยังน่ารักขนาดนี้ แล้วถ้าถอดแว่นนี่ไม่สวยเท่าบุญพิทักษ์ จิตกระจ่างเลยหรอเนี่ย” ชานนท์เมื่อได้ยินคำยกยอปอปั้นพี่ลินของเขาก็รู้สึกไม่พอใจจึงกระแอมเตือนเบาๆ
“อะแฮ่มๆ จะชมแฟนกูกันไปถึงไหนครับพี่น้อง ดูสิ พี่ลินกูลอยหมดแล้ว”
“ทำไม หวงล่ะสิ พี่ลินครับ แต่งงานกับไอ้นนท์ไปนี่ต้องทนมันหน่อยนะครับ ขนาดเพื่อนมันชมยังขนาดนี้แล้วคนอื่นคงไม่แคล้วเจอลูกซองจากมันน่ะครับ” ไพลินหัวเราะเบาๆในขณะที่ชานนท์เองนั้นเม้มปากแน่นจนขึ้นเป็นเส้นตรงด้วยความไม่พอใจ ไพลินเมื่อเห็นดังนั้นจึงลูบมือเขาเบาๆเป็นเชิงบอกว่ามันเป็นแค่คำหยอกล้อเท่านั้น ก่อนจะเอ่ยตอบกลับไปว่า
“บ้า นนท์ก็ ปล่อยให้เพื่อนชมบ้างก็ได้ น้องๆ ขนาดนนท์ยังไม่ชมพี่ขนาดนี้เลยนะขอบอกไว้เลย” ไพลินเอ่ยค้อนเขาเบาๆพลางพูดกับเพื่อนของชานนท์ในประโยคหลังด้วย ทำเอาเพื่อนคนนั้นโห่ชานนท์ด้วยความสะใจที่เขาโดนแฉ ชานนท์เองก็ถึงกับอึ้งไปเลยเหมือนกันที่ไพลินกล้าแฉเขาถึงขนาดนี้ พอดีกับที่ฝนหยุดตกเขาจึงคว้าหมับที่ข้อมือของไพลินแล้วหันมาเอ่ยกับเพื่อนว่า
“เฮ้ย บอกอาจารย์ด้วยนะเว้ยว่าวันนี้กูขอลา มีธุระด่วนต้องไปทำ” กล่าวจบก็รั้งให้ไพลินเดินตามหลังเขาไปจนถึงป้ายรถเมล์หน้ามหาวิทยาลัย ระหว่างที่รอรถอยู่นั้นไพลินก็เอ่ยถามขึ้นมาว่า
“นนท์จะพาพี่ไปไหน”
“เดี๋ยวพี่ลินก็รู้เองนั่นแหละครับ” ชานนท์พูดจบก็เบือนหน้าไปอีกทางหนึ่ง สีหน้าเขาดูไม่สู้ดีนักจนหล่อนไม่กล้าเอ่ยปากพูดอะไรอีก ทั้งสองเอาแต่เงียบรอจนรถแล่นมาจอด ชานนท์จึงหันมาคว้าหมับที่ข้อมือหล่อนไว้และรั้งให้ก้าวเดินตามไปนั่งบนรถเมล์ด้วยกันแล้วลงจากรถตรงป้ายรอรถบริเวณซอยบ้านไพลินแล้วเดินเข้าไปด้วยกันจนกระทั่งเข้าไปถึงในบ้านของไพลินในที่สุด...
“นนท์พาพี่มาที่บ้านทำไม” นี่คือประโยคแรกที่หล่อนเอ่ยถามเขา และโดยที่หล่อนไม่ทันได้ตั้งตัวนั้น ชานนท์ก็ฉวยโอกาสโอบเอวหล่อนไว้แน่น แล้วหันมากระซิบที่หูหล่อนเบาๆว่า
“ต่อไปนี้ผมไม่อยากให้ใครชมพี่ลินว่าสวยอย่างนั้นอย่างนี้อีก ผมได้ยินแล้วรู้สึกหวง กลัวว่าพี่ลินจะไปหลงเชื่อลมปากของพวกนั้นจนไม่สนใจผม พี่ลินสัญญากับผมได้ไหมว่าจะไม่ให้ใครมาชมพี่ลินแบบนี้อีก และผมก็สัญญาว่าต่อไปนี้ผมก็จะชมแค่แม่กับพี่ลินเท่านั้นพอ”
“อืม” หล่อนตอบเพียงสั้นๆ แต่ทว่ามันเปรียบเสมือนน้ำทิพย์ชโลมจิตใจของอีกฝ่ายให้แช่มชื่นขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
“ผมรักพี่ลินนะครับ รักมาตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกัน แม้ว่ามันอาจจะเร็วเกินไปสำหรับพี่ลิน จนพี่ลินอาจจะยังไม่พร้อมที่จะพูดคำว่ารักกับผม แต่ผมก็มั่นใจว่าต่อแต่นี้ไปผมจะสามารถทำให้พี่ลินพูดคำนั้นกับผมให้ได้ ผมสัญญาด้วยหัวใจว่าจากนี้ไปในหัวใจผมจะมีแค่พ่อ แม่ พี่ๆทั้งสองและผู้หญิงที่ชื่อไพลินคนที่อยู่ในอ้อมกอดของผมตลอดไป”
“อืม” วินาทีนี้ไพลินไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกไปดี แต่ทว่ารางวัลสำหรับคำพูดสั้นๆนี้กลับเป็นจุมพิตอันแสนหวานประทับลงมาโดยที่หล่อนมิได้คาดคิดมาก่อน มันช่างหอมหวานชวนลุ่มหลงและมัวเมาไปกับรสสัมผัสนั้น ชานนท์เงยหน้าขึ้นมาจากจูบนั้นแล้วเอ่ยว่า
“เป็นของผมนะครับพี่ลิน” กล่าวจบเขาก็ดันร่างบางให้ติดกับผนังของห้องรับแขกในบ้านแล้วมอบจูบที่แสนเร่าร้อนให้ก่อนที่เพลงรักครั้งแรกของทั้งคู่จะบรรเลงไปตามอย่างไม่มีที่สิ้นสุดในแรงปราถนานั้น...
ดวงอาทิตย์รุ่งอรุณสาดส่องเข้ามาในห้อง ในขณะที่สองร่างยังนอนกอดกันแนบชิดราวกับต้องการไออุ่น ทั้งๆที่ทั้งสองก็ซ่อนตัวภายใต้ผ้าห่มผืนโต สักพักหนึ่งเปลือกตาสวยที่หลับพริ้มก็ค่อยๆเผยอขึ้นมา ก่อนที่สักพักหนึ่งจะหันไปยังคนข้างกายที่หล่อนตระกองกอดมาทั้งคืนด้วยสีหน้าที่แดงก่ำเป็นลูกตำลึงสุกเมื่อรู้ว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นกับตนเอง
หล่อนไม่ได้ฝันไปเอง...
เมื่อวานนี้หล่อนได้มีอะไรกับเขาไปแล้วจริงๆ เขาเรียกร้องกับหล่อนอย่างไม่รู้จักพอเสียที หลังจากขึ้นมาบนห้องนอนของหล่อนแล้วเขาก็ต่อบทรักกับหล่อนไปอีกแล้วก็หลับไปในอ้อมกอดของกันและกัน
มันน่าแปลก...
มันแปลกตรงที่แทนที่หล่อนจะมารู้สึกเสียอกเสียใจที่ได้เสียความบริสุทธิ์ที่เฝ้าทะนุถนอมมานานให้สามีกำมะลอคนนี้ หล่อนกลับรู้สึกอิ่มเอิบใจได้อย่างน่าประหลาด แต่ก็ช่างเถอะ มันกลับไปย้อนเวลาไม่ได้แล้วนี่นา ณ ตอนนี้หล่อนควรจะทำปัจจุบันให้ดีที่สุดไม่ใช่หรือ
แต่พอจะขยับตัวลงจากเตียง เอวบางก็ถูกรั้งด้วยท่อนแขนแข็งแรงของคนข้างกายที่ตื่นขึ้นมาเมื่อไรก็ไม่รู้
“จะไปไหนแต่เช้า ไม่คิดจะทักทายผมเลยหรือไงกันครับพี่ลิน” เสียงทุ้มห้าวทักทายด้วยประโยคที่ทำให้หน้าของหญิงสาวแดงก่ำขึ้นมาอีกรอบ
“เปล่านี่ ก็พี่จะไปอาบน้ำ แล้วก็จะลงไปกินทำกับข้าวให้นนท์ทานอีก นนท์ไม่หิวหรือไงกัน”
“แหม จะไม่หิวก็กระไรอยู่ครับ เมื่อคืนเราก็ไปไกลกันไหนต่อไหนแล้วไม่ใช่หรือไง พี่ลินก็น่าจะรู้ดีนะครับ” ชายหนุ่มไม่พูดเปล่า พลางซุกไซ้ซอกคอหอมกรุ่นไปมา ไรหนวดของเขาทำเอาหญิงสาวต้องย่นคอหนีด้วยความจั๊กจี้
“บ้าน่านนท์ เรื่องมันผ่านไปแล้ว อย่ารื้อฟื้นเลยนะ”
“ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นต่อไปนี้พี่ลินก็ต้องให้ผมเข้ามาอยู่ในบ้านกับพี่ลินนะครับ สัญญากับผมสิ”
“ก็ได้ พี่สัญญา” พูดจบปากนุ่มๆของหล่อนก็ถูกปิดประทับลงมาอย่างดูดดื่ม อันเป็นสัญญาณว่าเขายอมรับคำสัญญาของหล่อนเป็นที่เรียบร้อย...
แต่พอหล่อนลุกลงจากเตียงก็เกิดอาการเจ็บแปล๊บๆขึ้นมาตรงกลางกายสาวจนน้ำตาเล็ด จนกระทั่งณัฐกฤตย์ต้องเข้ามาประคองด้วยความห่วงใย
“ทำไมมันเจ็บแบบนี้ล่ะนนท์ เจ็บจนน้ำตาเล็ดเลย”
“ครั้งแรกมันก็เป็นแบบนี้กันทุกคนแหละ แถมเมื่อวานผมก็ไม่ออมแรงด้วย สงสัยว่าวันนี้ท่าเดินพี่ลินคงไม่ปกติแล้วล่ะมั้งครับ ฮ่าๆ” ชายหนุ่มพูดจบก็หัวเราะออกมาเสียยกใหญ่ หญิงสาวเห็นดังนั้นก็แจกค้อนวงงามให้เขาด้วยความหมั่นไส้ จากนั้นทั้งสองก็เดินเข้าไปในห้องน้ำด้วยกัน และช่วยกันทำธุระต่างๆให้เสร็จโดยไว...
สักพักหนึ่ง...
เช้าวันเสาร์อันแสนสดใส ในเวลาเลยเจ็ดโมงมาสามนาที
‘ฉับ ฉับ ฉับ !!’ เสียงหั่นหัวหอมใหญ่ดังขึ้นมาพร้อมกับน้ำตาของผู้หั่นไหลลงมาอย่างไม่ขาดสาย ชานนท์ที่ตั้งกระทะอยู่ก็มองมาด้วยความเป็นห่วง เมื่อทนไม่ไหวจึงตรงรี่เข้าไปคว้ามีดมาจากมือไพลินแล้วเอ่ยว่า
“ผมว่าพี่ลินไปล้างมือก่อนแล้วค่อยกลับมาตอกไข่ดีกว่านะครับ เดี๋ยวทางนี้ผมจัดการเอง” เขาใช้มือข้างหนึ่งเช็ดน้ำตาให้ไพลิน แล้วดันหลังให้หญิงสาวเดินไปล้างมือจากนั้นตนเองก็อาสาหั่นหัวหอมเองจนเสร็จ...
หลังจากที่ไพลินได้ทำกับข้าวเสร็จแล้ว ชานนท์ก็อาสาช่วยยกกับข้าวทั้งหมดมาวางเรียงอยู่ตรงหน้า เมื่อทั้งสองก็มาพร้อมกันที่โต๊ะอาหารเรียบร้อยแล้ว บทสนทนาก็เริ่มขึ้น
“พี่ลินครับ วันนี้พี่ลินจะไปไหนไหมครับ”
“ไม่นะ ถ้าบอกอไม่เพจมาหาพี่กะทันหันน่ะ” ไพลินกล่าวตอบด้วยอารามสบายๆ พลางตักข้าวเข้าปากไปด้วย แต่ชานนท์ก็แย้งขึ้นมาก่อน
“ผมไม่สนครับ ถ้าเขาอยากให้พี่ลินทำงานให้ก็บอกไปว่าพี่ลินไม่สบายก็ได้ เราสองคนจะได้มีเวลาอยู่ด้วยกันทั้งวันเลยไง” คำตอบนั้นทำเอาเพชรรัตน์ต้องหันขวับมาทางเขาด้วยความไม่พอใจ แทบจะปาช้อนกาแฟใส่หน้าเขาด้วยความหมั่นไส้เลยด้วยซ้ำไป ถึงกระนั้นก็ยังอดไม่ได้ที่จะหันไปมองใบหน้าคมที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับหล่อน ซึ่งบัดนี้เขากำลังทำหน้าทะเล้นใส่หล่อนอยู่
แล้วอยู่ดีๆชานนท์ก็เอ่ยขึ้นมาว่า
“ผมว่าวันนี้ผมอยู่บ้านกับพี่ลินทั้งวันเลยดีกว่า หรือว่าพี่ลินอยากไปเที่ยวไหนหรือเปล่าครับ” ไพลินทำท่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า
“ไปปั่นจักรยานเล่นกันที่สวนหลวงร.9กันดีไหม พี่มีจักรยานอยู่สองคันพอดี”
“พี่ลินอยากไปไหนก็ไปเถอะครับ แต่จักรยานนี่ผมขอใช้คันเดียวกับพี่ลินได้ไหม” แล้วก็เหมือนเดิมถ้าหญิงสาวเขินหล่อนจะเอ่ยเพียงคำว่า
“อืม”
ผ่านไปยี่สิบนาที หลังจากทั้งสองทานข้าวเสร็จและช่วยกันล้างจานเรียบร้อยแล้ว ชานนท์ก็ปั่นจักรยานไปที่สวนเฉลิมพระเกียรติร.9 โดยที่มีไพลินซ้อนท้ายไปด้วยกัน
ทั้งสองเดินเข้ามาภายในหอรัชมงคลก็ได้รับรู้ถึงพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหลายอย่างด้วยกันไม่ว่าจะเป็นด้านสาธารณสุข แม้ในดินแดนทุรกันดารพระองค์ท่านยังทรงเข้าถึงเพื่อดูแลทุกข์สุขของพสกนิกรในพื้นที่ได้อย่างไม่เหน็ดเหนื่อย
ไพลินที่กำลังเพลิดเพลินไปกับการชมนิทรรศการอยู่นั้นมิทันได้สังเกตเลยว่าชานนท์ได้แอบมองอยู่ตั้งแต่เมื่อไร และเมื่อหล่อนหันหน้าไปหาเขา ใบหน้าสวยภายใต้กรอบแว่นก็ชนเข้ากับจมูกโด่งเป็นสันของชายหนุ่มเข้าในทันใด
“โอ๊ย !!” หญิงสาวร้องออกมาไม่ใช่เพราะเจ็บ แต่เพราะตกใจต่างหาก แต่นั่นก็ทำให้คนที่ตั้งใจจะแกล้งนั้นเปลี่ยนท่าทีมาเป็นการแสดงความห่วงใยในแทบจะทันที
“พี่ลิน ผมขอโทษ ไม่เจ็บนะครับ” ทว่าสิ่งที่ได้รับกลับมานั้นกลายเป็นกำปั้นที่ทุบลงมาบนไหล่กว้างปึ้กใหญ่จนชานนท์ถึงกับกุมไหล่ไว้ด้วยความเจ็บ ส่วนหญิงสาวก็เดินหนีเขาไปดื้อๆ ทำให้ชายหนุ่มต้องตามไปง้อหล่อนเพื่อไม่ให้หล่อนนั้นโกรธเขาไปมากกว่านี้
“พี่ลิน โธ่ อย่าเดินหนีผมไกลนักสิครับ” แต่พอหญิงสาวหยุด เขากลับเบรกไม่ทัน ทำให้ชนเข้ากับแผ่นหลังของหญิงสาวเต็มแรงจนล้มลงไปกองกับพื้นทั้งคู่ เมื่อไพลินลุกขึ้นมาก็ต้องทรุดลงไปอีกรอบเพราะเกิดอาการเจ็บขึ้นมาที่ข้อเท้า
“พี่ลินข้อเท้าแพลงนี่ครับ” ชานนท์เอ่ยบอกเมื่อจับข้อเท้าของไพลินพลิกดูแล้วพบว้ามันบวมแดง เขาจึงอุ้มหญิงสาวไว้แล้วเอ่ยว่า
“ผมว่าพี่ลินไม่ต้องเดินแล้วดีกว่า เดี๋ยวผมอุ้มพี่ลินไปเอง” แล้วชานนท์ก็อุ้มหญิงสาวเดินไปท่ามกลางผู้คนที่มองมาอย่างสนใจแกมอิจฉาไปพร้อมๆกัน...
Central World…
“นนท์พาพี่มาที่นี่ทำไมน่ะ” ไพลินร้องถามเมื่อชานนท์พาหล่อนมาที่ร้านเพชรแห่งหนึ่งใจกลางห้างใหญ่กลางกรุง หากแต่ชายหนุ่มไม่มีท่าทีสนใจหล่อนเลย เขากวักมือเรียกพนักงานสาวเข้ามา
“น้องครับ พี่ต้องการสลักแหวนเงินสองวงนี้ครับ” พนักงานสาวจึงยื่นกระดาษให้แล้วเอ่ยว่า
“เชิญเขียนคำที่ต้องการได้เลยค่ะ” ชายหนุ่มเขียนอะไรบางอย่างลงไปแล้วยื่นให้พนักงานสาว หลังจากนั้นเธอก็หายเข้าไปในนั้นครู่ใหญ่แล้วจึงกลับออกมาพร้อมกล่องกำมะหยี่สีแดงสองกล่อง ชานนท์ส่งให้ไพลินกล่องหนึ่งแล้วตนเองจึงหันไปจ่ายเงิน
ไพลินเมื่อรับมาแล้วก็เปิดดูแล้วพบคำที่สลักอยู่บนแหวนว่า
‘Pailin & Chanon Love Forever’
“เป็นของแทนตัวผมเวลาที่ผมไม่อยู่ไงครับพี่ลิน ต่อไปนี้เราสองคนก็จะมีตัวแทนของกันและกันอยู่ตลอดเวลา ผมใส่ให้นะครับ” คำพูดง่ายๆสั้นๆที่ถูกขับออกมาจากริมฝีปากบางที่คอยประทับลงมาบนเนื้อกายหล่อนเสมอและคอยหาเรื่องชวนทะเลาะตลอดเวลาที่เคยรู้จักกันมาตลอดสองสัปดาห์นั้นได้สร้างความรู้สึกที่ยากจะบรรยายได้ ยิ่งได้เห็นว่าแหวนเงินเกลี้ยงที่ดูไม่มีราคาค่างวดอะไรแต่กลับมีมูลค่าทางจิตใจอย่างมหาศาลกำลังถูกสวมลงมาบนนิ้วนางข้างซ้ายนั้นยิ่งรู้สึกได้ว่าต่อแต่นี้เป็นต้นไปมันจะเป็นของหล่อนไปตลอดชีวิตตราบจนสิ้นลมหายใจ น้ำใสๆก็พากันไหลรินลงจากดวงเนตรสวยทั้งสองข้าง มือใหญ่ของผู้ชายตรงหน้าก็ยื่นมาซับให้และใบหน้าคมก็ค่อยๆประทับลงมาจุมพิตแก่ริมฝีปากบางอิ่มสีเชอร์รี่ พนักงานสาวที่กำลังจะเข้าไปให้เงินทอนก็ผละออกมาพร้อมกับรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นในหัวใจ...
ทั้งสองกลับมาถึงบ้านในเวลาสามทุ่ม ขณะที่ไพลินกำลังจะเดินเข้าห้องน้ำหลังจากที่เหนื่อยมาทั้งวัน ชานนท์ก็เรียกเอาไว้เสียก่อนแล้วเอ่ยว่า
“พี่ลินครับ อาบน้ำเสร็จแล้วก็นอนเลยนะครับ เดี๋ยวข้อเท้าจะหายช้าเอา” ไพลินเงียบไปครู๋หนึ่งก่อนที่จะตอบกลับมาว่า
“นนท์คิดยังไงระหว่างความรักกับการเรียกร้องคณาธิปไตย” ชานนท์ทำหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยตอบมาว่า
“ผมคิดว่าความรักที่เกิดในระหว่างที่จะต้องเรียนไปด้วยและทำหน้าที่ที่จะต้องเรียกร้องรัฐธรรมนูญให้กลับคืนมาสู่สังคมไทยไปด้วยกันนั้น ผมคิดว่าผมสามารถที่จะบริหารเวลาเพื่อใช้เวลากับทั้งสามสิ่งให้คุ้มค่าที่สุด เพื่อที่คนที่ผมรักที่สุดคือพี่ลินจะได้เป็นกำลังใจให้ผมต่อสู้และฟันฝ่ามันไปได้ครับ แต่ว่าตอนนี้ผมยังไม่ได้คำตอบเลยว่าพี่ลินรักผมหรือเปล่า” ชานนท์เอ่ยจบก็กดจุมพิตหนักๆลงไปบนริมฝีปากนุ่มนั้น แล้วจึงถอดแว่นสายตาอันหนาเตอะของหญิงสาวออก เผยให้เห็นใบหน้าสวยหวานที่ซ่อนอยู่ภายใต้กรอบแว่นนั้นอย่างชัดเจน ก่อนที่เสียงหวานๆแผ่วเครือจะหลุดออกมาจากริมฝีปากบางนั่น
“พี่ไม่รู้ว่าความรู้สึกที่มันเกิดขึ้นอยู่นี้มันใช่ความรักหรือเปล่า แต่ว่าถ้าพี่ไม่รู้สึกอะไรกับนนท์เลย พี่คงไม่ยอมอยู่บ้านเดียวกับนนท์มานานขนาดนี้ พี่คงไม่ยอมออกไปไหนกับผู้ชายที่เพิ่งรู้จักกันสองต่อสองบ่อยๆ แต่พี่เชื่อว่าวันหนึ่งพี่จะสามารถพูดว่ารักนนท์ได้ ตอนนี้พี่ขอเอาคำพูดของพี่เมื่อสักครู่นี้เป็นเดิมพันก็แล้วกัน” ชานนท์เมื่อได้ยินดังนั้นความรู้สึกตื้นตันก็ประเดประดังเข้ามาจนท่วมท้นหัวใจ เขารีบคว้าเอวบางมากอดไว้แน่นก่อนที่จะรั้งให้นั่งลงไปบนโซฟาด้วยกัน
“ผมรักพี่ลินนะครับ พี่เป็นผู้หญิงคนเดียวที่ผมจะรัก และจะรักตลอดไป” ชายหนุ่มเอ่ยจบก็มอบจุมพิตอันแสนหวานให้ไพลินทันที สัมผัสนั้นแผ่วเบาดั่งขนนก พร้อมๆกับความรักที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นภายในใจของไพลินอย่างช้าๆ แต่มันจะคงอยู่ตลอดไป...
พฤษภาคม 2555
วันนี้ไพลินตื่นขึ้นมาด้วยอาการคลื่นไส้วิงเวียนแปลกๆ ชานนท์ไม่ได้มาหาหล่อนหลายวันแล้วเพราะเขาต้องไปร่วมชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยกับกลุ่มเพื่อน แต่สิ่งที่แปลกไปคือข้าวต้มปลากะพงโรยหน้าด้วยกระเทียมเจียวที่เคยเป็นของโปรดหล่อนกลับเป็นสิ่งที่ได้กลิ่นแล้วพาให้ต้องคลื่นไส้จนต้องเททิ้งอยู่ทุกครั้งไป ครั้นพออาการค่อยทุเลาลงบ้างแล้ว ไพลินจึงต้องมานั่งขบคิดถึงอาการผิดปกติของตนเอง
ประจำเดือนของหล่อนขาดไปเกือบสองเดือนแล้ว...
เหมือนถูกฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมากลางศีรษะ เลือดทุกหยาดหยดในกายพากับชาวาบไปทั้งสรรพางค์กาย...
ไพลินยกมือขึ้นปิดปากตัวเอง หัวใจดวงน้อยแทบหยุดเต้น...
เกือบสองเดือนนับตั้งแต่ที่ชานนท์เข้าถึงตัวหล่อน ไม่มีการป้องกัน ไร้ซึ่งความระมัดระวังใดๆ ปัญหาของประเทศที่ต้องคอยแก้ไขอยู่เสมอทำให้สิ่งเหล่านี้ถูกลืมเลือนไปอย่าง่ายดาย
หล่อนพยายามจะคิดว่ามันคงเป็นแค่อาการไม่สบายธรรมดาที่เกิดจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ หากแต่คำพูดของสูตินรีแพทย์หนุ่มก็ทำเอาร่างบางแทบทรุดลงไปกองกับพื้นทันทีที่รู้ว่าตนเองท้อง...
“หมอขอแสดงความยินดีด้วยนะครับ คุณไพลินตั้งท้องได้หกสัปดาห์แล้ว”
ตลอดระยะทางหนึ่งร้อยเมตรเข้ามาในซอยจนถึงหน้าบ้าน หล่อนก็พบผู้ชายคนหนึ่งยืนรออยู่ เพื่อนของชานนท์คนนั้น...
“พี่ลินครับ ไอ้นนท์มันได้กลับบ้านบ้างหรือเปล่า” เมื่อพบไพลิน เขาจึงไม่รีรอที่จะเดินเข้าไปถามทันที
“ไม่นี่จ๊ะ นนท์เขาไปร่วมชุมนุมหลายวันแล้วยังไม่กลับบ้านเลย มีอะไรหรือเปล่า”
“พี่ลินทำใจดีๆไว้นะครับ ตอนนี้รัฐบาลสั่งสลายการชุมนุม มีคนตายและสูญหายหลายคน แล้วพวกผมหาไอ้นนท์มันไม่เจอก็เลยมาตามหาที่บ้านพี่ลินนี่แหละครับ” เมื่อเขากลับไปแล้ว ไพลินจึงเข้ามานั่งในห้องรับแขกแล้วปล่อยให้น้ำตาร่วงลงมาอย่างสุดกลั้น
ป่านนี้เขาจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้างนะ...
มือบางค่อยๆลูบไล้ที่หน้าท้องเบาๆพร้อมอธิษฐานว่า
‘ลูกจ๋า ช่วยพ่อเขาหน่อยนะลูก อย่าให้เขาเป็นอะไรไปเลย...’
แต่ทว่าเวลาผ่านไป จากนาทีเป็นชั่วโมง จากชั่วโมงเป็นวัน จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี เรื่อยมาจนเวลาเวียนมาบรรจบครบรอบยี่สิบปีในที่สุด เขาก็ยังไม่กลับมา...
20 พฤษภาคม 2555
วันนี้เป็นวันเปิดเรียนวันแรกของกานต์ กานต์เรียนมหาวิทยาลัยชั้นปีที่สองแล้ว โดยสิ่งที่เขามักจะทำเป็นประจำทุกวันคือการที่ได้กอดและหอมแก้มผู้เป็นมารดาก่อนออกจากบ้านเสมอ
วันนี้ก็เช่นเดียวกัน...
“แม่ครับ ขอหอมแก้มแม่หน่อยสิ” ยังไม่ทันที่ไพลินจะได้หันหน้ามาด้วยซ้ำ เด็กหนุ่มก็รีบขโมยหอมแก้มมารดาไปฟอดใหญ่ ทำเอาคุณแม่ยังสาวถึงกับหน้าแดงก่ำด้วยความเขินอายไม่ต่างจากทุกๆครั้ง
“ตากานต์นี่ โตแล้วยังหอมแก้มแม่เป็นเด็กๆไปได้”
“ก็แก้มแม่นุ่มน่าหอมนี่ครับ แม่รีบทำกับข้าวเถอะครับ เดี๋ยวกานต์ออกไปรอหน้าบ้านก็แล้วกัน”
เมื่อกานต์ออกมาหน้าบ้านก็พบชายหนุ่มคนหนึ่งที่เขาคิดว่าตาคงไม่ฝาดแน่แท้ เพราะใบหน้าของชายผู้นั้นช่างละม้ายคล้ายคลึงเหมือนเขาไม่มีผิด ยังไม่ทันที่เขาจะพูดอะไรออกไปเลยด้วยซ้ำ ชายคนนั้นก็เอ่ยว่า
“ผมต้องการพบคุณไพลิน ไม่ทราบว่าเธออยู่ไหมครับ”
“อยู่ครับ แม่อยู่ในห้องครัว คุณเดินตรงไปแล้วเลี้ยวซ้ายเลยครับ” กานต์เอ่ยยังไม่ทันขาดคำเลยด้วยซ้ำ ชายคนนั้นก็เดินหายเข้าไปในบ้านเสียแล้ว กานต์ก็ได้แต่เก็บความสงสัยเรื่องหน้าตาที่คล้ายคลึงกันนั้นไว้ในใจ รอถามตอนที่แม่ออกมาก็แล้วกัน
ไพลินที่ได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวเข้ามาก็นึกว่าเป็นกานต์ หล่อนจึงร้องบอกเขาว่า
“ตากานต์ หยิบใบเตยในตู้เย็นให้แม่หน่อยสิลูก” พอหล่อนรับใบเตยจากมือคนที่คิดว่าเป็นเจ้าลูกชายมาแล้ว กลิ่นกายอันคุ้นเคยก็ลอยมากระทบกับโสตนาสิก ความทรงจำเมื่อยี่สิบปีก่อนก็หวนคืนมา...
‘ฉับ ฉับ ฉับ !’ เสียงหั่นหัวหอมใหญ่ดังขึ้นมาพร้อมกับน้ำตาของผู้หั่นไหลลงมาอย่างไม่ขาดสาย ชานนท์ที่ตั้งกระทะอยู่ก็มองมาด้วยความเป็นห่วง เมื่อทนไม่ไหวจึงตรงรี่เข้าไปคว้ามีดมาจากมือไพลินแล้วเอ่ยว่า
“ผมว่าพี่ลินไปล้างมือก่อนแล้วค่อยกลับมาตอกไข่ดีกว่านะครับ เดี๋ยวทางนี้ผมจัดการเอง”
มือบางชะงักอยู่กับที่ในขณะที่น้ำตาหยดหนึ่งร่วงเผลาะลงมา
ทำไมเขาทำแบบนี้ ตายไปแล้วยังต้องปล่อยให้หล่อนคิดทิ้งเขาแทบขาดใจอยู่อีกหรือไร...
“ชานนท์ เมื่อไรเธอจะกลับมา ให้รู้ว่ามีชีวิตอยู่บ้างก็ยังดี ทำแบบนี้ไม่สงสารพี่บ้างหรือไง รู้ไหมว่าพี่คิดถึงเธอจนจะบ้าตายอยู่แล้วนะ คนใจร้าย ฮือๆ” เสียงหวานสั่นเครือเจือสะอื้นแผ่วๆดังขึ้นมาอย่างสะกดกั้นไว้ไม่อยู่ คนใจร้ายที่ยืนอยู่ข้างหลังก็สวมกอดรอบเอวบางเอาไว้แน่นพร้อมๆกับหยาดน้ำตาที่ร่วงเผลาะลงมาในขณะเดียวกัน
“พี่ลิน ผมขอโทษ ผมอยากจะบอกว่าตลอดเวลายี่สิบปีนี้ผมไม่เคยลืมพี่ลินเลย หัวใจผมมันมีแต่พี่ลินตลอดเวลา ต่อไปนี้เราจะไม่ต้องพรากจากกันแล้วนะครับ”
ไพลินรู้สึกเหมือนว่าดวงใจที่หลุดลอยไปกำลังจะกลับคืนมาอีกครั้ง มือบางค่อยๆลูบไล้ไปบนสันมือหนานั่นเบาๆเพื่อให้รู้ว่าตนเองไม่ได้ฝันไปจริงๆ แล้วพอเลื่อนมาดูตรงนิ้วนางข้างซ้ายก็รู้สึกตื้นตันใจขึ้นมาเมื่อพบว่าแหวนเงินที่สลักคำว่า ‘Pailin & Chanon Love Forever’ ยังคงอยู่ หญิงสาวจับมือข้างนั้นมาลูบไล้แก้มบางนั่นเบาๆ ซึ่งก็สามารถเรียกปฏิกิริยาตอบรับจากเขาได้เป็นอย่างดี
“พี่ลินดูผอมไปนะครับ”
“ปล่อย...” เมื่อนั้นชานนท์คิดขึ้นมาได้ว่าหล่อนคงจะโกรธเขาที่ทิ้งหล่อนไปถึงยี่สิบปีจนไม่อยากจะให้อภัย ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งกอดรัดเอวบางนั่นแน่นขึ้น จนหล่อนต้องเอ่ยปากร้องประท้วงว่า
“ปล่อย...ถ้านนท์ไม่ปล่อยแล้วพี่จะกอดนนท์ได้ยังไงกันล่ะ” พอเขาปล่อยหล่อนก็หันมาสวมกอดเขาไว้แน่น พร้อมกับร้องเพลงคลอออกมาว่า
“ทิ้ง ทิ้งกันไปฉันคงจะหลงลืมเธอสักวัน กว่าวันนั้นใจคงร้าวรนจนทนไม่ไหว ใช่ว่าเธอไม่มีความหมาย..ใช่ว่าฉันไม่มีเยื่อใย ใช่ว่าใจฉันตัดเธอได้ง่ายดายเสียหน่อย” ชานนท์เมื่อได้ยินก็พาให้สะท้อนใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ยังไม่ทันที่เขาจะได้พูดอะไรออกไป ไพลินก็เอ่ยขึ้นมาอีกว่า
“จำได้ไหม ที่พี่เคยพูดว่าพี่ไม่รู้ว่าความรู้สึกที่มันเกิดขึ้นอยู่นี้มันใช่ความรักหรือเปล่า แต่ว่าถ้าพี่ไม่รู้สึกอะไรกับนนท์เลย พี่คงไม่ยอมอยู่บ้านเดียวกับนนท์มานานขนาดนี้ พี่คงไม่ยอมออกไปไหนกับผู้ชายที่เพิ่งรู้จักกันสองต่อสองบ่อยๆ แต่พี่เชื่อว่าวันหนึ่งพี่จะสามารถพูดว่ารักนนท์ได้ ตอนนี้พี่ก็กำลังจะพูดมันอยู่นี่ไง พี่รักนนท์นะ รักมากเกินกว่าที่จะตัดออกไปได้ ต่อไปนี้อย่าจากพี่ไปไหนอีกนะ” ชานนท์เมื่อได้ยินคำว่ารักจากปากหญิงอันเป็นที่รักก็ยิ่งกอดรัดเอวบางแน่นขึ้นไปอีก ก่อนที่เขาจะเป็นฝ่ายเอ่ยปากออกมาบ้าง
“แล้วพี่ลินจำได้ไหมครับ ที่ผมเคยบอกว่ารักพี่ลิน ยี่สิบปีผ่านไป แม้เราจะห่างกัน แต่หัวใจผมก็เหมือนไม่เคยห่างจากผู้หญิงที่ชื่อไพลินเลย” เขากำลังจะพูดต่อแต่หล่อนก็เอามือปิดปากเอาไว้ ก่อนจะบอกว่า
“เอาคำนี้ไปบอกกับลูกหน้าบ้านเถอะ”
เมื่อทั้งสองเดินไปจนถึงหน้าบ้านซึ่งกานต์ยืนรออยู่ก่อนแล้ว เด็กหนุ่มก็ตรงรี่เข้ามาเตรียมจะถาม หากแต่คำพูดของผู้เป็นแม่ก็หยุดเขาได้
“กานต์ นี่ชานนท์ พ่อของลูกจ้ะ” กานต์ที่ได้ยินก็ถึงกับอึ้งไปนานเลยทีเดียว พอได้สติก็โผเข้ากอดบิดาไว้แน่น แล้วเอ่ยว่า
“ผมดีใจที่พ่อกลับมา รู้ไหมครับว่าผมสงสารแม่มาก ทุกครั้งที่ผมต้องเห็นแม่ร้องไห้เพราะคิดถึงพ่อนั้นมันทำให้ผมคิดว่าทำไมพ่อไม่ส่งข่าวมาบ้าง ให้รู้ว่ายังมีชีวิตอยู่ก็พอ” ชานนท์ลูบหัวลูกชายเบาๆก่อนจะเอ่ยบอกว่า
“อันที่จริงพ่อก็อยากกลับมาให้ไวกว่านี้ แต่คดียังไม่หมดอายุความ พ่อจึงกลับไม่ได้ ถ้ากลับมาพ่อก็ต้องติดคุก ลูกก็ต้องมีพ่อเป็นคนขี้คุกอยู่ดี” ไพลินที่เป็นฝ่ายเงียบมานานจึงเอ่ยขึ้นมาบ้างว่า
“กานต์ รู้ไหมว่าชื่อนี้แม่ตั้งใจตั้งให้ลูก เพราะลูกคือตัวแทนแห่งความรักของแม่กับพ่อ มันแปลว่าผู้เป็นที่รัก กานต์เป็นที่รักในใจแม่และพ่อเสมอนะลูก” กานต์ผละออกจากอ้อมแขนของบิดาแล้วเอ่ยว่า
“แม่ครับ กานต์ว่าแม่ไปทำกับข้าวให้กานต์ก่อนดีกว่า เดี๋ยวกานต์ไปเรียนไม่ทันนะครับ” ไพลินจึงเดินเข้าไปหาทั้งคู่แล้วสวมกอดลูกชายไว้
“แม่ดีใจนะลูกที่กานต์ไม่แสดงท่าทีแย่ๆกับพ่อ แม่อยากบอกว่าตอนนี้แม่มีความสุขที่สุดที่เราสามคน พ่อ แม่ ลูก มาอยู่พร้อมหน้ากันเสียที” จากนั้นชานนท์ก็เดินเข้ามาสวมกอดทั้งสองเอาไว้แล้วเอ่ยว่า
“พ่อรักกานต์นะลูก/ผมรักพี่ลินนะครับ” ทั้งสามกอดกันกลมอยู่ในสนามหญ้าหน้าบ้านพร้อมด้วยสัญญาว่าทั้งสามจะไม่มีวันพรากจากกันไปอีก ตราบชั่วนิรันดร...
ด้วยแรงแห่งรักของเรา ที่จะมั่นคงตลอดไป ทุกวันทุกเวลา
อธิษฐานให้รักของเรา หลอมดวงใจให้เรากลับมา
และสิ่งที่เป็นความเสียใจ เรื่องที่เคยเสียน้ำตา
คือบทเรียนที่มีค่ามีความหมาย ให้เรายังรักกัน…
ผลงานอื่นๆ ของ San-aoei ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ San-aoei
ความคิดเห็น